ศาสนา-ศิลปวัฒนธรรม

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ชวนชมโบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นห้ามพลาด พร้อมเปิดพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ

ในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๐ ปี กรุงรัตโกสินทร์

โบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นห้ามพลาดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัยและยังเป็นสถานที่ต้อนรับอาคันตุกะระดับชาติของประเทศไทย จึงเป็นแหล่งที่รวบรวมมรดกวัฒนธรรมของชาติไว้เป็นจำนวนมาก เป็นการยากที่จะบอกว่า โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นไหนเป็นชิ้นเอกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ     พระนคร เนื่องจากทุกชิ้นล้วนมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้นอย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร      มีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุแนะนำ ๑๐ รายการที่จัดแสดงอยู่ภายในพระที่นั่ง และอาคารต่างๆ ที่ผู้เข้าชมไม่ควร พลาดชมและต้องไปให้ถึงอาคารจัดแสดงนั้นๆ ประกอบด้วย

. พระพุทธสิหิงค์ จัดแสดง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์

พระพุทธปฏิมาศิลปะสุโขทัยล้านนา หล่อด้วยสำริดกะไหล่ทอง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑นับถือกันว่า เป็นพระพุทธปฏิมาศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพ ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์กล่าวว่า ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานเป็นสิริมงคลยังพระนครหลวงและเมืองสำคัญแต่โบราณของไทยหลายแห่ง คือ นครศรีธรรมราช สุโขทัย กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่พระนครศรีอยุธยา และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ .. ๒๓๓๘ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ อัญเชิญจากเมืองเชียงใหม่มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เนื่องจากพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่อำนวยความอุดมสมบูรณ์ จึงได้อัญเชิญออกไปให้ประชาชนสรงน้ำขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งภายหลังกรมศิลปากรได้ขอพระบรมราชานุญาตหล่อองค์จำลองสำหรับเทศกาลสงกรานต์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

. พระคเณศ จัดแสดงห้อง ศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท

พระคเณศ กร จากจันทิสิงหส่าหรี เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ศิลปะชวาตะวันออก อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕๑๖ ความสูง ๑๗๒ เซนติเมตร ลักษณะเป็นประติมากรรมจำหลักศิลานูนสูง ประทับนั่งบนบัลลังก์กะโหลกมนุษย์ หัตถ์ขวาบนถือขวาน หัตถ์ซ้ายบนถือพวงลูกประคำ หัตถ์ขวาและหัตถ์ซ้ายล่างถือถ้วยขนม ทรงศิราภรณ์ประดับด้วยกะโหลกมนุษย์ แม้แต่กุณฑล พาหุรัด เข็มขัด รัดองค์ ทองพระกร ทองพระบาท และภูษาทรงล้วนประดับด้วยลวดลายกะโหลกมนุษย์ และสวมสายยัชโญปวีตรูปงู ตามประวัติกล่าวว่า ผู้สำเร็จราชการเกาะชวาซึ่งเป็นชาวฮอลันดาน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ในคราวเสด็จประพาสชวาเมื่อ ..๒๔๓๙ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท

วันที่ 18 เมษายน 2565 นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน มอบหมายให้ นายนิวัติ น้อยผาง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วย นายสรสาสน์ สีเพ็ง ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลจังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายพิสดาร ประดา พัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี นางสาววิจิตร หลงชิน ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน นายธงชัย ครุฑแสน ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน นักวิชาการพัฒนาชุมชน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมให้การต้อนรับและสนับสนุนการดำเนินงาน

โดยในเวลา 08.30 . นายนิวัติ น้อยผาง พร้อมด้วย นายสรสาสน์ สีเพ็ง ได้พบปะให้กำลังใจและรับฟังการสรุปผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลจากพัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้อำนวยการกลุ่มงาน และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ในภาพรวมของจังหวัดฯ ทั้งแปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (Community Lab Model for quality of Life : CLM) และแปลงพื้นที่ต้นแบบระดับครัวเรือน (Household Lab Model for quality of Life : HLM) ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางรัฐบาล (งบเงินกู้) มากที่สุดในประเทศไทย ถึง 4,044 แปลงจนได้รับฉายาว่ามหานครแห่งโคก หนอง นา

จากนั้นในเวลา 09.30 . รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อม พัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานีและคณะได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลแปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (Community Lab Model for quality of Life : CLM) ของนายประชัน คุ้มหินลาดบ้านโนนสวรรค์ หมู่ที่ 12 ตำบลสำโรง อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายปรีดา อุ่นอุดม นายอำเภอสำโรง นางศิรินุช สูงสุด พัฒนาการอำเภอสำโรง หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ  ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน (ผู้นำ อช.) และเครือข่ายโคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอผลการดำเนินงาน

โอกาสนี้ นายนิวัติ น้อยผาง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้กล่าวกับผู้ที่มาร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอผลการดำเนินงาน ว่า

ผมดีใจมากที่ได้กลับมาเยือนถิ่นอำเภอสำโรงอีกครั้ง ซึ่งตนเคยเป็นนายอำเภอสำโรง อยู่ประมาณ 6 เดือน ซึ่งการมาในครั้งนี้ มีเป้าหมายในการตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลทั้งแปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (CLM) เเละแปลงระดับครัวเรือน (HLM) ที่ได้ดำเนินการนั้น มีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นต้นแบบในการเปลี่ยนแนวคิดในการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการส่งเสริมการเรียนรู้ เเละการมีส่วนร่วมโดยใช้ศาสตร์พระราชา ควบคู่ไปกับ หลักกสิกรรมธรรมชาติ และประสบการณ์ที่เราลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันเเละกัน ทำให้เกิดองค์ความรู้  เกิดปัญญาในการใช้ชีวิตเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายของโครงการ ก็คือการสร้างความเพียงพอให้ตนเองก่อน เเล้วขยายไปภายนอก มีการแบ่งปัน มีการทำบุญ ทำทาน

รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าการดำเนินโครงการ เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐก็คือกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยดำเนินการ ร่วมกับประชาชนในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยการทำให้ดูอยู่ให้เห็น ให้คนสนใจ เเล้วเป็นครูพาทำ พาผลิต มีมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทย หรือ Earth Safe Standard ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ บนพื้นฐานการเกื้อกูลซึ่งกันเเละกัน สร้างความเชื่อมั่น สร้างเเรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนร่วมกัน สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนโครงการนี้ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีเเละอยู่อย่างมีความสุข

ต่อมาในเวลา 11.00 . นายนิวัติ น้อยผาง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วย นายสรสาสน์ สีเพ็ง ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นายพิสดาร ประดา พัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี และคณะจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ได้เดินทางต่อไปยังแปลงโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่ตำบลโนนกุง อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี อีก 4 แปลง โดยมี นายพงษ์ธร จันทร์สวัสดิ์ นายอำเภอตระการพืชผล นางคำประไพ รักษาขันธ์พัฒนาการอำเภอตระการพืชผล หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้บริหารองค์การส่วนปกครองท้องถิ่น เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้นำชุมชน และเจ้าของแปลง ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอผลการดำเนินงาน

สำหรับอำเภอตระการพืชผล มีครัวเรือนเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดล” (งบเงินกู้) จำนวน1,045 ครัวเรือน แยกเป็นแปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (CLM) พื้นที่ 15 ไร่ จำนวน 13 แปลง และพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับครัวเรือน (HLM) พื้นที่ 3 ไร่ จำนวน 546 แปลง และพื้นที่ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ครัวเรือน (HLM) พื้นที่ 1 ไร่ จำนวน486 แปลง รวมทั้งสิ้น 1,045 แปลง

ภายหลังจากการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โมเดลได้มีการประเมินผลการดำเนินงานของอำเภอตระการพืชผล โดยจัดอยู่ในระดับ A จำนวน 39 แปลง, ระดับ B จำนวน 992 แปลง และระดับ C จำนวน 14 แปลง โดยตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์มากที่สุด คือหนองหรือบ่อไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ตลอดปี ซึ่งอำเภอตระการพืชผลได้กำหนดให้มีการจัดประชุมเหลียวหลังแลหน้าครัวเรือนเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อวางแผนขับเคลื่อนปรับปรุงในตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ต่อไป

ในส่วนของการตรวจเยี่ยมโครงการ ในพื้นที่ตำบลโนนกุง อำเภอตระการพืชผล ของรองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และคณะ ในครั้งนี้นั้น ได้เยี่ยมชมความสำเร็จในการดำเนินงาน แปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (CLM) พื้นที่ 15 ไร่ ของนายแก้วกล้า บัวศรี และแปลงนางคำผ่อน อ่อนท้าว บ้านโคกสว่าง หมู่ที่ 2 ต่อด้วย แปลงระดับครัวเรือน (HLM) ของนายสุพรรณ วิชัยแสง บ้านร่องหมู หมู่ที่ 7 และแปลงนางดวงฤดี หลงชิน บ้านน้ำคำ หมู่ที่ 4 พื้นที่เข้าร่วมโครงการ 1 ไร่ ซึ่งเป็นครัวเรือน ที่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการลงมือบริหารจัดการพื้นที่นาของตนเอง ตามหลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประยุกต์สู่โคก หนอง นาโมเดลและสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,500-3,000 บาท ซึ่งแปลงเหล่านี้ ถือเป็นครัวเรือนต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโครงการ ให้ครัวเรือนอื่นได้ศึกษาและเป็นแบบอย่างต่อไป

นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ในแปลง CLM และ HLM ของตำบลโนนกุง ครั้งนี้ ยังได้เดินเยี่ยมชมแปลงพืชผักสวนครัว พร้อมเก็บผลผลิตพืชผักสวนครัว และการเรียนรู้การปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ การดำเนินทุกกิจกรรมได้ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด

กมลพร คำนึง

สุมาลี สมเสนาะข่าว

พระปัทมปาณีโพธิสัตว์ จัดแสดงห้อง

ศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท

พระปัทมปาณีโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร กร ศิลปะศรีวิชัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พบเพียงท่อนบนพระวรกาย พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีลักษณะเอียงพระวรกาย ทรงศิราภรณ์ ส่วนยอดของชฎามกุฎหักหายไป พระเนตรเหลือบต่ำสวมสร้อยประคำและกรองศอ พระอังสาด้านซ้ายคล้องผ้าเฉวียงบ่า และทับด้วยสายยัชโญปวีตประดับหัวกวาง  สันนิษฐานว่า อาจเป็นองค์เดียวกับพระโพธิ์สัตว์ปัทมปาณี ที่กล่าวถึงในจารึกจากวัดเวียงว่า ถึงพระเจ้าธรรมเสตะสร้างปราสาทอิฐสามหลังเพื่ออุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์สององค์ ซึ่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนี้มีผู้นับถืออย่างมากทั้งใน        พุทธศาสนามหายานและวัชรยาน ซึ่งเคารพนับถืออยู่ในชวาภาคกลางในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓๑๔ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างอาณาจักรศรีวิชัยในคาบสมุทรภาคใต้กับราชวงศ์ไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง

 . ตะเกียงโรมัน จัดแสดงห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท

ตะเกียงโรมัน ขุดพบที่ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ราชบัณฑิตยสภาได้มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ ..๒๔๗๐ ลักษณะตะเกียงหล่อด้วยสำริด ปลายด้ามมีช่องสำหรับวางไส้ตะเกียง ด้านบนมีฝาเปิดหล่อเป็นรูปพระพักตร์เทพเจ้าไซเลนุส(Silenus) ผู้เป็นอาจารย์ของเทพเจ้าไดโอนีซุส (Dionysus) เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นของโรมันด้ามจับหล่อเป็นลายใบปาล์มและปลาโลมาคู่หันหน้าเข้าหากัน ตะเกียงนี้อาจหล่อขึ้นที่เมืองอเล็กซานเดรีย เมืองท่าทางทะเลในประเทศอียิปต์ เมื่อครั้งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันราวก่อนพุทธศตวรรษที่ หรืออาจหล่อขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และคงเป็นของที่พ่อค้าชาวอินเดียได้นำเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากบริเวณที่พบนั้น ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่พ่อค้าชาวอินเดียเคยเดินทางผ่านไปมา  ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบเหรียญโรมันสำริดของจักรพรรดิวิคโตรินุสที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี  เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชุมชนโบราณในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับโลกตะวันตก ได้แก่กลุ่มประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคือ กรีกโรมัน รวมทั้งเปอร์เซีย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ซึ่งอาจเป็นการติดต่อโดยตรงกับพ่อค้าโรมันที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตามบ้านเมืองท่าชายฝั่งของอินเดีย  หรือติดต่อผ่านพ่อค้าชาวอินเดียที่เดินทางมาจากเมืองท่าต่าง ก็เป็นได้

. พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา จัดแสดงอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

พระพุทธรูปปางปฐมเทศนาหรือที่เรียกกันว่าหลวงพ่อศิลาขาวศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่๑๓๑๔ พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นพระพุทธรูปที่นำมาประกอบจาก ส่วนคือพระเศียรและบั้นพระองค์ได้มาจากวัดพระยากง ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนพระอุระ พระเพลา และพระบาท ได้จากวัดพระเมรุ อำเภอเมืองจังหวัดนครปฐม โดยช่างในอดีตใช้เทคนิคในการเข้าสลักลิ่มเพื่อยึดชิ้นส่วนทั้ง เข้าด้วยกัน

เมื่อ ..๒๕๐๙ อาจารย์เศวต เทศน์ธรรม ผู้ซ่อมแซมพระพุทธรูปศิลาขาวทั้ง องค์คือประดิษฐานที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ ได้ใช้ปูนซีเมนต์และปูนปลาสเตอร์ในการซ่อมองค์พระและใช้แท่งสแตนเลสเป็นแกนเพื่อยึดชิ้นส่วนต่าง เข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งสามองค์ไม่พบชิ้นส่วนพระหัตถ์เลย ผู้ซ่อมแซมจึงใช้รูปแบบปางแสดงธรรมจากพระพุทธรูปนั่งขนาดเล็กในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เป็นต้นแบบในการซ่อมแซม

. พระหายโศก จัดแสดงห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา ประทับขัดสมาธิเพชร พระบาทไขว้กันแลเห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง มีพระรัศมีรูปดอกบัวตูม พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อย พระวรกายอวบอ้วน พระหัตถ์ขวาคว่ำอยู่บนพระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงด้านล่าง เป็นท่านั่งที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติตอนมารผจญเป็นกิริยาที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกแม่พระธรณีมาเป็นพยานการบำเพ็ญพระบารมีส่วนฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย โดยบัวหงายมีขนาดใหญ่กว่าบัวคว่ำและปลายกลีบดอกบัวมีความอ่อนช้อย กลีบบัวมีการตกแต่งด้วยลายพฤกษา และลายช่อดอกโบตั๋น จากพุทธลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงพุทธศิลป์ล้านนาแบบสิงห์ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ อันเป็นยุคทองของล้านนาที่นิยมสร้างพระพุทธรูปแบบฐานบัวงอน

ด้านหลังที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย สมัยรัตนโกสินทร์ ว่า พระหายโศกมาถึงกรุงเทพฯ วัน ๑๑+ ค่ำ (วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ) ปิ์มเสงยังเป็นอัฐศก ศักราช๑๒๑๘ ซึ่งตรงกับวันที่ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๙ ในรัชกาลที่

นาม หายโศกสะท้อนถึงธรรมเนียมการตั้งชื่อพระพุทธรูปล้านนาที่มักตั้งตามคติความเชื่อด้านพระพุทธคุณในเชิงขจัดปัดเป่า เคราะห์ภัยอันตรายต่าง ที่อาจนำความทุกข์โศกมาสู่ผู้กราบไหว้บูชา แต่เดิมนั้นพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปของหลวง และใช้ในการพระราชพิธีเท่านั้น ก่อนที่กรมพระราชพิธีจะส่งมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปัจจุบันนี้ จัดแสดงอยู่ที่ห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

. ศิลาจารึกหลักที่ จัดแสดงห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ในสมัยรัชกาลที่ และเสด็จจาริกธุดงค์ไปยังหัวเมืองเหนือเมื่อประมาณ ..๒๓๗๖ ทรงพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงและพระแท่นมนังคศิลาบาตร ที่เนินปราสาทเก่าสุโขทัย และทรงอ่านจารึกได้เป็นพระองค์แรก เนื้อหาในศิลาจารึกแบ่งออกเป็นสามตอนคือตอนที่ ตั้งแต่บรรทัดที่ ถึง บรรทัดที่ ๑๘ เล่าประวัติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตั้งแต่ประสูติจนได้เสวยราชสมบัติใช้คำว่ากูเป็นหลัก ส่วนตอนที่ เล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง รวมถึงธรรมเนียมในเมืองสุโขทัย เล่าถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยเมื่อพ..๑๘๒๖ การสร้างพระธาตุเมืองศรีสัชนาลัยเมื่อพ..๑๘๒๘ และสร้างพระแท่นมนังคศิลาเมื่อพ..๑๘๓๕ โดยใช้คำว่าพ่อขุนรามคำแหงแทนคำว่ากูและจารึกตอนที่ ตั้งแต่ด้านที่ บรรทัดที่ ๑๒ ถึงบรรทัดสุดท้าย เป็นคำสรรเสริญพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และกล่าวถึงอาณาเขตเมืองสุโขทัยที่แผ่ออกไป สันนิษฐานว่า เป็นการจารึกภายหลังหลายปี เนื่องจากตัวหนังสือไม่เหมือนกับตอนที่ และตอนที่ จารึกหลักนี้กำหนดอายุตามปีศักราชที่ระบุไว้คือพ..๑๘๓๕ และเมื่อวันที่ ตุลาคม ..๒๕๔๖ ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) องค์การยูเนสโก

. พระอิศวร จัดแสดงห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์

พระอิศวรสำริด สมัยสุโขทัย อายุประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลักษณะตามประวัติกล่าวว่ารับมาจากเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ สันนิษฐานว่าคือ พระมเหศวร ที่กล่าวถึงในจารึกวัดป่ามะม่วงว่า พระมหาธรรมราชาธิราช ที่ (พญาลิไท) โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ในหอเทวาลัยมหาเกษตรพิมาน คู่กับพระวิษณุอีกองค์หนึ่ง เมื่อปีฉลู มหาศักราช ๑๒๗๑ ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๘

. พระมหาพิชัยราชรถ จัดแสดงที่โรงราชรถ

พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อปี ..๒๓๓๘ มีขนาดกว้าง .๘๕ เมตร ความยาวรวมงอนรถ ๑๘ เมตร (ความยาวเฉพาะตัวรถ ๑๔.๑๐ เมตร) สูง ๑๑.๒๐ เมตร น้ำหนักรวม ๑๓.๗๐ ตัน ปัจจุบันใช้กำลังพลฉุดชักจากกรมสรรพาวุธทหารบก ๒๑๖ นาย เมื่อแรกสร้างนั้นโปรดให้สร้างขึ้นเป็นราชรถขนาดใหญ่ตามโบราณราชประเพณีที่เคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพื่อเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกออกถวายพระเพลิง  พระเมรุมาศท้องสนามหลวง นับแต่นั้น พระมหาพิชัยราชรถเชิญพระโกศพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศ์ษานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าในสมัยต่อ มา และใน ..๒๕๖๐ ใช้ทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปัจจุบันพระมหาพิชัยราชรถได้เก็บรักษาไว้ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

 ๑๐. พระที่นั่งบุษบกเกริน จัดแสดง พระที่นั่งอิสราวินิจฉัย

พระที่นั่งบุษบกเกรินหรือบุษบกราชบัลลังก์ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระทวารกลางของพระที่นั่งมุขกระสัน ด้านทิศตะวันออกของหมู่พระวิมาน เป็นพระที่นั่งไม้ทรงบุษบกขนาบด้วยเกรินทั้งซ้ายขวา ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักรูปยักษ์ ครุฑ และเทพนม ปิดทองประดับกระจก สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงใช้เสด็จออกรับขุนนางหรือออกว่าราชการ ซึ่งบริเวณพื้นที่โดยรอบเรียกว่า ท้องพระโรงหน้า ถัดจากพระที่นั่งบุษบกเกรินเป็นชาลาและมีอาคารทิมคดตั้งอยู่สามด้านเรียกว่า ทิมมหาวงศ์ สำหรับเป็นที่ประชุมเหล่านักปราชญ์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ต่อมาจากมุขกระสันและรื้อทิมมหาวงศ์ออก โดยมีพระที่นั่งบุษบกเกรินประดิษฐานเป็นประธานในอาคารหลังใหม่นามว่า พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เอง

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า