“อัตราดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ” เสมือนมะเร็งร้ายทางการเงิน ที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษา(3) **โดย พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ**
หนี้ของรัฐแทบทั้งหมดจะกู้เงินในประเทศ (รูปที่ 6) โดยผ่านเครื่องมือต่าง ๆ สามารถจำแนกฐานนักลงทุน ได้แก่ 1.) เครื่องมือพันธบัตรรัฐบาล และ ตั๋วเงินคงคลัง ประมาณร้อยละ 79 ที่เป็นการกู้จากนักลงทุนสถาบันผ่านตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย กองทุนรวม สถาบันการเงินบริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักประกันสังคม และนักลงทุนต่างประเทศ 2.) เครื่องมือตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญากู้ยืมเงิน ประมาณร้อยละ 15 ที่เป็นการกู้เงินโดยตรงจากสถาบันการเงิน ได้แก่ธนาคารของรัฐกับธนาคารพาณิชย์ และ 3.) เครื่องมือพันธบัตรออมทรัพย์ ประมาณร้อยละ 6 ที่เป็นการกู้เงินที่ระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อกระจายฐานนักลงทุนและกระทรวงการคลังควรส่งเสริมการออมของภาคประชาชน เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลจะสูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
จะเห็นว่านักลงทุนตามกลุ่มที่ 1)และกลุ่มที่ 2) ที่ให้จำนวนหนี้รัฐรวมกันมากถึงร้อยละ 94 นั้นแทบทั้งหมดเป็นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางใช้เงินฝากประชาชนที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25-50 สตางค์ หรือร้อยละ 0.25-0.50 เอาไปให้รัฐกู้ดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42-2.48 จะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง มีความปลอดภัย ต้นทุนดูแลต่ำสถาบันการเงินจึงเป็น “เสือนอนกิน” ดีกว่าให้ SME หรือประชาชนกู้ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งเมื่อรัฐบาลกู้เงินเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการช่วยคนรวยที่ร่ำรวยอยู่แล้วให้มั่งคั่งมากขึ้น เป็นการแย่งเงินทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะประชาชนและ SME ที่กำลังประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินไม่ให้กู้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการกู้เงินภาครัฐดังกล่าว ตามสัดส่วนการกู้เงินของรัฐบาลผ่านการออกพันธบัตรในประเทศ (รูปที่ 7) อาจสร้างปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงินในอนาคต
การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐ ที่น่าห่วงคือในแต่ละปีงบประมาณจะใช้จ่ายเงินลงทุนล่าช้าข้ามปีงบประมาณ ไม่โปร่งใส ขาดประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตของ GDP ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ขณะเดียวกันต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เดินหน้าไม่หยุด จากข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พบว่าผลการเบิกจ่ายงบประมาณ จากระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์(GFMIS) กรมบัญชีกลาง งบประมาณจำนวน 3,285,962 ล้านบาทเศษ มีการเบิกจำนวน3,012,156 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 91.67 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ 8.33 หรือมีงบประมาณคงเหลือจำนวน 273,806 แสนล้านบาทเศษ