สังคม-สตรี-เยาวชน

ร้อง “ปวีณา” ช่วยตามหาลูกสาววัย 9 ขวบกลับคืนสู่อ้อมอกแม่ หลังถูกพ่อเลี้ยงพรากไปนานกว่า 2 ปี

จ.สมุทรปราการ : วันที่ 6 มิ.ย. 68 แม่ร่ำไห้ทุกข์ทรมานคิดถึงลูก ร้อง “ปวีณา” ช่วยตามหาลูกสาววัย 9 ขวบกลับคืนสู่อ้อมอกแม่ หลังถูกพ่อเลี้ยงพรากไปนานกว่า 2 ปี อดมื้อกินมื้อ ทำร้ายทุบตี บังคับเร่ขายน้ำส้มยันดึกดื่น ตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงตี 1 ไม่ได้เรียนหนังสือ กระทั่งวันที่ 11 พ.ค.68 เพื่อนลุงไปพบเด็กเร่ขายน้ำส้มในร้านอาหารข้างทางย่านสุขสวัสดิ์ กรุงเทพฯ จำเด็กได้จึงโทรฯ วิดีโอคอลไปหาลุง ยืนยันว่าเป็นหลานและพามาเจอ สืบจนรู้ว่าพ่อเลี้ยงพาเด็กไปอยู่บ้านเช่าในพื้นที่อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ล่าสุดวันนี้ “ปวีณา” ลงพื้นที่พาแม่เด็กไปพบ พ.ต.อ.อภิชาติ ทองแพ ผกก.สภ.พระประแดง เข้าแจ้งความ และประสาน นางสาวอนินทิตา รุจิประภา พัฒนาสังคมฯ สมุทรปราการ และนางสาวอมรรัตน์ สัตบุษย์ หัวหน้าบ้านพักเด็กฯ สมุทรปราการ ลงพื้นที่ร่วมกัน พาตัวพ่อเลี้ยงและเด็กหญิงมาที่ สภ.พระประแดง วินาทีที่สองแม่ลูกได้พบหน้าร่ำไห้โผกอดกันด้วยความดีใจ ส่วนพ่อเลี้ยงถูกดำเนินคดีข้อหา พรากผู้เยาว์ไปจากมารดา, แสวงหาผลประโยชน์กับเด็ก และเลี้ยงดูไม่เหมาะสมเด็กไม่ได้รับการศึกษา และเด็กหญิงจะอยู่ในความดูแลของบ้านพักเด็กฯ สมุทรปราการ ชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ

รายละเอียด
สืบเนื่องจาก น.ส.หน่อย (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) ลูกสาวอายุ 9 ขวบ ถูกนายแบงก์ (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี อดีตสามีของตน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง พาไปเร่ขายน้ำส้มตามร้านอาหารต่างๆ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึงตี 1 ทุกวัน โดยไม่ให้ลูกสาวเรียนหนังสือ และลูกสาวบอกกับแม่ว่าต้องอดมื้อกินมื้อ อยากกินอะไรก็ไม่ได้กิน ถ้าง่วงนอนหรือขายน้ำส้มไม่ได้ก็จะถูกด่าและถูกทุบตีประจำ

ก่อนที่จะมาอยู่กินกับนายแบงก์เมื่อ 10 ปีก่อน ตนตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว ซึ่งนายแบงก์ก็ยินดีที่จะอยู่กินด้วยและให้ใส่ชื่อเป็นพ่อเด็กในใบเกิด โดยอาศัยอยู่รวมกันในบ้านเช่าย่านท่าข้าม กรุงเทพฯ และมีแม่นายแบงก์กับพ่อเลี้ยงของนายแบงก์อยู่ด้วย ตอนนั้นนายแบงก์ทำอาชีพรับจ้างก่อสร้าง ต่อมาช่วงที่ด.ญ.เอ อายุได้ 2 ขวบ นายแบงก์ก็นอกใจไปมีผู้หญิงอื่นตนจับได้จึงเลิกรากัน ตอนแรกตนยืนยันจะเอาลูกไปอยู่ด้วย แต่แม่นายแบงก์ขอเอาไว้เขาบอกว่ารักหลานเหมือนหลานแท้ๆ เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ถ้าอยู่กับย่าเลี้ยงเขาจะส่งให้เรียนหนังสือ ช่วงนั้นตนตกงานห่วงลูกถ้าไปด้วยจะลำบากจึงตัดสินใจให้ลูกอยู่กับย่าเลี้ยงและพ่อเลี้ยงไปก่อน

หลังจากที่ตนแยกทางกับนายแบงก์ตนก็ได้หางานทำและไปเยี่ยมลูกพร้อมส่งเงินให้ลูกเป็นประจำ จนกระทั่งช่วงที่โควิด-19 ระบาด ปี 2565 ตนตกงานก็ไม่ได้ส่งเงินให้ลูก ย่าเลี้ยงกับพ่อเลี้ยงก็กีดกันไม่ให้เจอลูก จากนั้นเขาก็พากันย้ายบ้านที่ท่าข้ามไปเช่าบ้านที่อื่นอีกหลายที่แต่ก็จะอยู่ในละแวกฝั่งธนบุรี ซึ่งเขาไม่เคยบอกที่อยู่ใหม่กับตน ตนพยายามตามหาลูกทุกวิถีทางแต่ก็ไม่พบ

ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พี่ชายตนได้ส่งคลิปของอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งมาให้ดูเป็นคลิปของเด็กหญิงขายน้ำส้มตามร้านหมูกระทะและร้านอาหารตอนกลางคืนที่บริเวณแถวลาดหญ้า ตนตกใจมากเพราะเด็กคนนั้นคือ ด.ญ.เอ ลูกสาวของตนเอง ตอนนั้นลูกอายุ 7 ขวบ

จากนั้นตนก็พยายามตามหาลูกจนติดต่อกับนายบิว (นามสมมุติ) น้องชายของนายแบงก์ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ทางเฟซบุ๊ก นายบิว บอกว่า ลูกของตนสบายดี ก็เรียนหนังสืออยู่ปกติ อาให้ตนได้วิดีโอคอลคุยกับลูกบ้างนานๆ ครั้ง ซึ่งตอนที่วิดีโอคอลเขาก็จะอยู่ด้วยลูกจึงไม่กล้าบอกอะไรกับแม่ ตนรบเร้าบอกกับอาว่าจะขอไปเจอลูกบ้าง และจะรับลูกไปอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมให้เจอและไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหน แถมยังท้าทายว่าถ้าอยากได้ลูกคืนก็ให้ไปฟ้องเอา จนถึงตอนนี้ 2 ปีกว่าแล้วที่ตนไม่ได้เจอกับลูกเลย

น.ส.หน่อย กล่าวอีกว่า ล่าสุดวันที่ 11 พ.ค.68 พี่ชายของตนที่อยู่ซอยเอกชัย-บางบอน ได้โทรมาหาบอกว่าจะเอาลูกของตนไปส่งให้นอนกับแม่บ้าง เพราะเมื่อวานนี้เพื่อนบังเอิญไปเจอหลานเดินเร่ขายน้ำส้มอยู่แถวสุขสวัสดิ์เลยชวนหลานมานอนที่บ้านด้วย ซึ่งพี่ชายก็เพิ่งจะรู้ว่านายแบงก์กับย่าเลี้ยงไม่ให้ตนได้เจอหน้าลูกเลย หลานบอกกับลุงว่า “หนูคิดถึงแม่ อยากเจอแม่ ให้แม่มารับหนูไปอยู่ด้วย พ่อเลี้ยงกับย่าเลี้ยงไม่ให้เรียน หนูอยากเรียนหนังสือ” แต่ลุงก็พาลูกมาส่งให้แม่ไม่ได้เพราะนายแบงก์ได้ส่งแชตให้เพื่อนพี่ชายมาบอกว่าให้รีบส่งหลานกลับทันที จากนั้นลุงก็ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งหลานที่หน้าร้านสะดวกซื้อแถวห้างสรรพสินค้าชื่อดังบางแค ลุงก็ยังแอบดูหลานอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ผ่านไปเกือบชั่วโมง นายแบงก์ก็ขี่รถจักรยานยนต์มารับ เมื่อเจอหน้าลูกก็ตบศีรษะและตีที่ลำตัวก่อนจะพาลูกขึ้นรถไปทันที

นอกจากนี้คนที่รู้จักตนได้ให้ข้อมูลนายแบงก์ว่าปัจจุบันอาศัยอยู่ย่านสุขสวัสดิ์ จ.สมุทรปราการ และยังบอกอีกว่าสงสารลูกสาวของตนมากที่ต้องไปเดินเร่ขายน้ำส้มตอนกลางคืน “เด็กคนเดียวต้องหาเลี้ยงทั้งบ้าน” ตนไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไรจึงได้มาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือพาลูกสาวให้กลับสู่อ้อมอกแม่เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากอดหลับอดนอนไปเร่ขายน้ำส้ม อดมื้อกินมื้อ และจะได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ขอดูรูปด.ญ.เอ อายุ 9 ขวบ ลูกสาวจากน.ส.หน่อย และให้น.ส.หน่อยดูรูปด.ญ.คนหนึ่งอายุประมาณ 7 ขวบ ที่มีพลเมืองดีได้เคยแจ้งเรื่องขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.68 ว่าเด็กถูกผู้ชายร่างกำยำอายุประมาณ 30 ปี พามาบังคับให้เดินขายน้ำส้มตอนกลางคืนตามร้านอาหาร โดยพลเมืองดีระบุว่า เด็กเดินเร่ขายน้ำส้มอยู่ย่านบุคคโล กรุงเทพฯ ถ้า ด.ญ.ขายไม่ได้ตามเป้าหรือง่วงนอนก็ถูกตะคอกทุบตี วันนั้น นางปวีณา จึงได้ประสาน พ.ต.อ.อภิชาติ ทองแพ ผกก.สภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เข้าแจ้งความ และประสาน นางสาวอนินทิตา รุจิประภา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ และนางสาวอมรรัตน์ สัตบุษย์ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่ร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือเด็กทันที

จากนั้น นางปวีณา ได้ให้น.ส.หน่อย ดูรูปด.ญ.และผู้ชายเดินเร่ขายน้ำส้มที่พลเมืองดีส่งมา ปรากฎว่าผู้ชายคนดังกล่าวคือ นายแบงก์ อดีตสามีและเป็นพ่อเลี้ยงที่พาลูกของตนหนีไป ส่วนด.ญ.ในรูปคือ ลูกสาวนายแบงก์อีกคนที่เกิดจากภรรยาใหม่ ซึ่งครั้งก่อนนี้ นางปวีณา ได้ประสานเจ้าหน้าที่ พม.ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วแต่ไม่พบคาดว่าเป็นช่วงที่นายแบงก์เปลี่ยนสถานที่ขายไปเรื่อยๆ

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เอง

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า