มหัศจรรย์ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว (วัดเรืองแสง)
วัดสิรินธรฯ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดภูพร้าว หรือวัดเรืองแสง เป็นวัดราษฎร์ ธรรมยุตินิกาย อยู่ ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ใกล้ด่านพรมแดนช่องเม็ก พื้นที่วัดอยู่บนยอดเขาสูง มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกล สิ่งปลูกสร้างจึงถูกออกแบบให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับธรรมชาติที่สวยงาม
โครงสร้างอุโบสถจำลองรูปแบบมาจากวัดเชียงทอง แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว นำศิลปะมาประยุกต์เข้าด้วยกันระหว่างล้านนาและล้านช้าง ประติมากรรมผนังด้านนอกอุโบสถ เป็นต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงได้ เพราะสร้างด้วยกระเบื้องเคลือบสารฟลูออเรสเซนต์ จะเห็นเรืองแสงชัดเจนในช่วงเย็น งานตกแต่งและบริเวณโดยรอบ จำลองคติทางพระพุทธศาสนากำหนดให้เป็นป่าหิมพานต์ ผสมผสาน งานปูนปั้นสดกับงานไม้แกะสลัก การใช้เทคนิคสีกับงานปิดทอง งานประดับโมเสดและงานปิดทอง ให้สอดคล้องกันอย่างกลมกลืน
เรื่องราวความเป็นมาของวัดสิริธรภูพร้าว เดิมเป็นป่าสมบูรณ์ แต่ไม่มีแหล่งน้ำเพราะเป็นหน้าผาสูง จึงไม่มีชาวบ้านอาศัย ต่อมามีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ เดินทางจากลาว เพื่อเผยแผ่ธรรมะในฝั่งไทย ได้มาปักกลดพักที่ภูพร้าว
ในราวปี พ.ศ.2495-2498 ท่านได้ขอบิณฑบาตพื้นที่แห่งนี้ไว้สร้างเป็นวัด เพื่อเป็นสถานที่บำเพ็ญบุญระหว่างชาวไทยและลาว เนื้อที่สร้างวัดประมาณ 500 ไร่ ท่านได้เคยปรารภกับศิษย์ไว้ว่า “ในอนาคต จะมีผู้มีบุญ มาบำเพ็ญบารมีของเขาให้เต็มบริบูรณ์เขาจะมาสร้างสถานที่แห่งนี้ให้รุ่งเรือง จะมีพระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกาจำนวนมากมาในสถานที่แห่งนี้ ปราชญ์บัณฑิตจะแวะมาพักอาศัยมิได้ขาด”
ปี พ.ศ.2516-2517 พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ ได้เดินทางกลับวัดภูมะโรงเมืองจำปาสัก เนื่องจากเกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลาว ในปี 2524 ท่านได้มรณภาพ ที่วัดภูมะโรง สิริอายุ 72 ปี วัดภูพร้าวจึงถูกปล่อยร้างเรื่อยมา
ปีพ.ศ.2535 อำเภอสิรินธรได้แยกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร จึงมีการเปลี่ยนชื่อวัดตามชื่ออำเภอ เป็นวัดสิรินธรวราราม
ปี 2542 พระครูกมลภาวนากร ลูกศิษย์พระอาจารย์บุญมาก ได้นำคณะลูกศิษย์มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมดังเดิม
พระครูกมลภาวนากร ท่านเคยเล่าไว้ว่า พื้นที่วัดมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและมีความพิเศษ คือมีหินคล้ายลูกมะพร้าวเต็มไปหมด เมื่อทุบออกมาจะมีฝุ่นหรือเม็ดหินใสๆแวววาวระยับคล้ายเพชรพลอย ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ เป็นมะพร้าวที่ฤาษีทำเอาไว้ จึงเอาไปรักษาโรค และเรียกลูกนี้ว่า “ภูพร้าว” ต่อมามีคนเก็บเอาไปขายจนหมด
หลังจากนั้นวัดได้รับการพัฒนาเรื่อยมา จนพระครูกมลภาวนากรได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2549 ปัจจุบัน พระครูปัญญาวโรบล เป็นเจ้าอาวาส มีภิกษุสามเณรตลอดจนอุบาสกและอุบาสิกามาปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำมิได้ขาด
วัดนี้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและฝึกปฏิบัติธรรม เปิดให้นมัสการและเยี่ยมชม ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ผู้เข้ามาในบริเวณวัดควรแต่งกายสุภาพ งดนุ่งสั้น ซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมผ้าซิ่นไว้ให้บริการด้วยค่ะ
(ขอบคุณข้อมูลจาก วัดภูพร้าว,สารสนเทศถิ่นอีสาน,MGR online,Museum Thailand,Guide Ubon.com)
#เปิ้นอยากเล่า