ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ พร้อมคณะจาก สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ (Bodhigayavijjalaya 980 Institute, India) ร่วมพิธีบวงสรวงจัดสร้างมณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
เชิญชวนศาสนิกชนร่วมสักการบูชา #เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุดในชีวิต
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 07.07 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายเสริมศักดิ์พงษ์พานิช รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีบวงสรวงจัดสร้างมณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว
ณ ประเทศไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – 19 มีนาคม 2567 โดยมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ
เป็นพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง นางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม
นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคล
เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับรัฐบาลอินเดีย
กระทรวงวัฒนธรรมอินเดีย สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ดำเนินงานโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ โดยการดำเนินการในครั้งนี้
สืบเนื่องมาจากโครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุจากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขงโดยอัญเชิญ
พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์กรุงนิวเดลี ซึ่งได้รับการขุดพบจากสถูปโบราณ เมืองปิปราห์วา ซึ่งสันนิษฐาน
ว่าเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ในสมัยพุทธกาล มีหลักฐานเป็นจารึกอักษรพราหมีบนผอบ แปลว่า “ที่บรรจุ
พระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของสากยราชสุกิติ กับพระภาตา พร้อมทั้งพระภิคินี พระโอรสและพระชายา
สร้างขึ้นอุทิศถวาย” ส่วนพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ อัญเชิญมาจากสถูปเมืองสาญจี บรรจุในผอบซึ่งมีจารึกอักษรพราหมีว่า “สาริปุตส” แปลว่า (พระธาตุ) ของพระสารีบุตร และ “มหาโมคลานส” แปลว่า (พระธาตุ) ของพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ
ของพระอัครสาวกทั้งสอง และนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ
มาประดิษฐานให้ศาสนิกชนได้สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุดในชีวิตในระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์
ถึง 19 มีนาคม 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่อุบลราชธานี และกระบี่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวความคิดในการออกแบบมณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะฯ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นั้น ออกแบบโดยสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร รูปแบบสถาปัตยกรรมเลือกใช้รูปแบบอาคารแบบมณฑป
ซึ่งเป็นอาคารเครื่องยอดที่มีฐานานุศักดิ์ อาคารสูงสุดในงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ลักษณะของมณฑปมีผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือมีบันไดขึ้น–ลง 3 ด้าน ยกเว้นด้านหลัง อาคารยกฐานสูง โดยชั้นแรกยกพื้นเป็นฐานชาลา เดินได้รอบอาคาร กึ่งกลางตั้งมณฑปยกพื้นมีบันไดขึ้น–ลง 3 ด้าน ทำประตูเข้า–ออก ด้านตามแนวบันได ผนังเป็นกระจก ติดตั้งผ้าม่านเพื่อกรองแสงเข้าสู่ภายในอาคารทั้ง 3 ด้าน ผนังด้านหลังทึบ กรุเป็นช่องลูกฟัก ส่วนยอดอาคารเป็นยอดมณฑป 3 ชั้นเชิงกลอน เหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์ ต่อด้วยบัวกลุ่ม 5 ชั้น ปลียอด เหนือสุดเป็นเม็ดน้ำค้างตามแบบไทยประเพณี ภายในอาคารทำฝ้าเพดานติดตั้งดาวเพดาน และดวงโคมให้แสงสว่างภายในอาคาร ติดตั้งระบบปรับอากาศ และระบบควบคุมความชื้นเพื่อความคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในอาคาร ในส่วนการประดับตกแต่งลวดลายขององค์ประกอบสถาปัตยกรรมในส่วนต่างๆ จะเป็นรูปแบบลายซ้อนไม้ ตกแต่งด้วยการทาสีเป็นหลัก
ส่วนองค์ประกอบที่ปกติจะใช้การปิดทองจะเปลี่ยนเป็นการทาสีทองเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานอาคาร และยังจัดทำผอบทรงเจดีย์ลวดลายแบบไทยประเพณีสำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร อีกด้วย
สำหรับในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 16.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม
ได้จัดริ้วขบวนอัญเชิญอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา โดยจัดเป็นขบวนอัญเชิญธงชาติไทยอินเดีย ธงธรรมจักร
และธงฉัพพรรณรังสี ขบวนโคมประทีปและโคมดอกบัว รถบุปพชาติประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ขบวนเฉลิมพระเกียรติ ขบวนชุดประจำชาติไทยและอินเดีย และในเวลา 17.00 น. จะมีพิธีเปิดงาน และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ หลังจากนั้น จะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะบูชา ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม2567 เวลา 09.00 – 20.00 น. จากนั้นอัญเชิญไปประดิษฐานในส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัด ให้ประชาชนได้เข้าสักการะบูชา ได้แก่ ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5 – 8 มีนาคม2567 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 10 – 13 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ วัดมหาวนาราม
จังหวัดอุบลราชธานี และภาคใต้ ระหว่างวันที่ 15 – 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 – 20.00 น. ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ โดยเวลา 17.00 น. เป็นต้นไป แต่ละพื้นที่จะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ตามอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่อย่างยิ่งใหญ่ และจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์เสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชนที่เข้ากราบสักการะด้วย
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จึงขอเชิญชวนศาสนิกชนร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ด้วยการนำหลักธรรม ความเชื่อของศาสนา มาปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญ
ในการเชื่อมโยงความร่วมมือด้านศาสนาและส่งเสริมคุณธรรมของประชาคมโลกเพื่อสร้างความสงบสุขแก่มวลมนุษยชาติสืบไป