อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวกมาไทยได้อย่างไร ทำไมต้องเป็น กรุงเทพ เชียงใหม่ อุบลราชธานี และกระบี่
คุณสุภชัย วีระภุชงค์ (เสี่ยอ๊อด ทิฟฟี่) เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เล่าให้ชาวกระบี่ฟังกันค่ะ
ท่านทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย ชื่อ นาเกซ ซิงห์ ในภาษาสันสกฤต แปลว่าพญานาคได้นำเสนอและหารือ ความเป็นไปได้ตามนโยบายท่านนายกโมดี้ ซึ่งเป็นชาวฮินดู แต่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา เห็นว่ามีวิธีเดียวที่จะใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเชื่อมเอเชียตะวันออก เนื่องจากนับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ ทางสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980 จึงสนองรับ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของการเสด็จของพระองค์เอง
การเกิดงานธรรมยาตรา พระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง ไม่อยากให้ชาวพุทธไทยแค่มาปิติระหว่างที่ท่านประทับอยู่ จำเป็นยิ่งที่เวลาองค์พระศาสดาเสด็จไปที่ไหน พวกเราก็จะรู้เลยว่าท่านจะไปแสดงธรรมเทศนา สอนพวกเราพุทธบริษัท 4 เพราะฉะนั้นการเสด็จครั้งนี้ท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว สิ่งที่เสด็จมาคือพระบรมสารีริกธาตุ จำเป็นยิ่งที่พวกเราชาวพุทธ คงจะต้องกลับมาหลังจากส่งเสด็จท่านกลับ ว่าท่านได้ทิ้งลมหายใจเอาไว้ในแผ่นดินสยาม ไม่ว่าจะเป็นมณฑลพิธีท้องสนามหลวง,หอคำ จังหวัดเชียงใหม่ , วัดป่าใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี และ วัดมหาธาตุวชิรมงคลจังหวัดกระบี่ ถือว่าท่านได้ทรงมีพุทธประสงค์ ที่จะเสด็จมาโปรดพวกเรา ทั้ง 4 จุด
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเสด็จโดยรัฐบาลอินเดียนำเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรกในพระพุทธศาสนา ตลอดเวลากึ่งพุทธกาล ไม่เคยเกิดการเสด็จครั้งประวัติศาสตร์ ที่ธรรมราชา เสด็จพร้อมกับอัครสาวก สรุปคือเป็นพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดร.สุภชัย วีระภุชงค์
เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980
14 มีนาคม 2567ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล
จ.กระบี่
อนุโมทนาสาธุ
#ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง
#สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980
#เปิ้นอยากเล่า