ศาสนา-ศิลปวัฒนธรรม

ประธานพุทธวิหารสาญจี ผู้ดูแลรักษาพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ บอกเล่าที่มาของพระอรหันตธาตุ และหวังว่า ในอนาคตจะมีโอกาสอัญเชิญเสด็จมาให้คนไทยได้กราบสักการะอีก

การเสวนาในหัวข้อ ธรรมวิชัยสู่ศตวรรษแห่งธรรม จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980 วัดมหาวนาราม หรือวัดป่าใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี คุณสุภชัย วีระภุชงค์เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ได้แนะนำ พระอุปติสสะเถโร ประธานพุทธวิหารสาญจี ประเทศอินเดีย และ ประธานมหาโพธิสมาคม ว่า ท่านคือผู้อนุมัติเอกสารเพื่ออนุญาตให้สาญจีวิหารนำเสด็จพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะที่ประดิษฐานที่สถูปสาญจี เสด็จพร้อมกับพระบรมสารีริกธาตุ ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงเดลลี มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ประเทศไทย ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 รวม 29 วันที่จะอยู่ในเมืองไทยเพื่อให้คนไทยได้กราบไหว้  เชื่อว่าการเสด็จครั้งนี้พระพุทธเจ้าท่านมีพุทธประสงค์เพื่อชาวพุทธลุ่มน้ำโขง รวมกับญาติธรรมอีก 5 ชาติ ซึ่งได้ดำเนินการประสานงาน 1 ปีเต็ม

พระอุปติสสะเถโร กล่าวว่า คุณสุภชัยคือเพื่อนและกัลยาณมิตร และยังมีคณะสงฆ์จากอินเดียมาร่วมด้วย รู้สึกดีใจเพราะเป็นอานุภาพของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรที่อัญเชิญมา

พร้อมเล่าถึงประวัติศาสตร์ของพระอรหันตธาตุชุดนี้ ได้ถูกอัญเชิญจากสาญจีไปที่กรุงลอนดอน แล้วจากลอนดอนกลับมาสู่อินเดีย โดยผ่านประเทศศรีลังกา ในอดีตสถูปสาญจีได้ถูกค้นพบโดยชาวอังกฤษ เนื่องจากพระพุทธศาสนาได้สูญหายไปจากประเทศอินเดียเกือบ 800 ปีในศตวรรษที่ 12

ขณะที่พระอุปติสสะ อายุ 12 ขวบ ได้เดินทางจากประเทศศรีลังกามาอินเดีย เพื่อเรียนหนังสือที่เมืองสารนารถ ซึ่งมีผู้คนเดินทางจากทั่วโลกเพื่อมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  จึงมีเพื่อนชาวพุทธ จากไทย พม่า ศรีลังกาและประเทศต่างๆ แต่ไม่มีเพื่อนชาวพุทธในอินเดียเลย  เพราะเป็นช่วงที่พุทธศาสนาสูญหายจากอินเดีย  จากนั้นพระพุทธศาสนาจึงกลับคืนมาสู่อินเดียอีกครั้งด้วยบุคคลที่ชื่อว่า อานาคาริกธรรมปาละ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนากลับคืนสู่อินเดียอีกครั้ง ด้วยการก่อตั้งมหาโพธิสมาคม ในปี 1891 เพื่อให้มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนากลับคืนสู่อินเดียและทั่วโลก จึงได้เชิญเพื่อนจากไทยพม่า จำนวนหนึ่งเพื่อมาร่วมทำงานด้วยกัน ซึ่งในบันทึกของมหาโพธิสมาคม บันทึกไว้ว่า มีเจ้าชายจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมด้วย  และในวันนี้พระอุปติสสะได้เป็นประธานรุ่นที่ 3 ได้พยายามเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศชาวพุทธทั่วโลกทั้งหมด ซึ่งในศรีลังกามีพุทธ ทั้งหมด6 นิกาย ท่านอยู่ในสยามนิกาย จึงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชาวพุทธไทย

ในปี 1851 ได้มีชาวอังกฤษนำพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไปที่กรุงลอนดอน เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์กว่าร้อยปี และในช่วงเวลานี้เอง ท่านอานาคาริก ธรรมปาละ ได้ก่อสร้างวัดพุทธในกรุงลอนดอน พระชาวศรีลังกาจึงได้เข้าไปเยี่ยมชมในพิพิธภัณฑ์ และทราบว่ามีพระอรหันตธาตุเก็บไว้ จึงส่งเรื่องรายงานมามหาโพธิสมาคมสำนักงานใหญ่กรุงโคลัมโบ ศรีลังกา แล้วท่านธรรมปาละ ได้เริ่มดำเนินการเรียกร้องให้ชาวอังกฤษส่งคืนสู่ชาวพุทธ แต่ช่วงชีวิตท่านยังไม่สำเร็จ ท่านได้เสียชีวิตลงในปี 1933 คณะลูกศิษย์จึงสานต่อการเรียกร้อง สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ โดยมีหลานของท่านธรรมปาละไปอัญเชิญกลับจากลอนดอนและดำเนินการกลับศรีลังกาเป็นเวลาหลายปีจึงสำเร็จ

การเดินทางของพระอรหันตธาตุชุดนี้ผ่านศรีลังกาไปอินเดีย ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าพระอรหันตธาตุจะเสด็จผ่านที่เมืองไหน ผู้นำของประเทศหรือเมืองนั้นก็จะต้องมาเข้าสักการะรับเสด็จ และทุกครั้งที่มีการอัญเชิญจะเกิดปรากฎการณ์ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอัศจรรย์  และในปี 1941 พระอรหันตธาตุก็เดินทางจากอังกฤษสู่ศรีลังกามาอินเดียที่เมืองกัลกัตตาโดยมีท่านประธานาธิบดีคนแรกของอินเดียเดินทางไปรับด้วยตนเองสุดท้ายก็ได้กลับคืนเมืองสาญจี ต้นกำเนิดที่เก็บพระอรหันตธาตุในอดีตกาล และมีการสร้างวิหารสาญจีเพื่อเก็บพระอรหันตธาตุไว้ที่สาญจีเป็นการถาวร โดยมีกษัตริย์ชาวมุสลิมของรัฐมัธยประเทศบริจาคที่ดินให้สร้างวิหารเสร็จสิ้นในปี 1952 โดยมีประธานาธิบดีเดินทางไปเปิดวิหารนั้นด้วยตนเอง

 

 

 

 

 

 

 

ตั้งแต่ปี 1952 พระอรหันตธาตุก็ถูกเก็บในวิหารสาญจีโดยไม่เคยถูกนำออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้ววันหนึ่งได้มีจดหมายจากประเทศไทยไปถึงท่าน มีการขออนุญาติอัญเชิญพระอรหันตธาตุชุดนี้มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในเมืองไทย ในวโรกาสอันเป็นมงคล เฉลิมฉลองครบรอบ 72 ปี ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงรู้สึกปราบปลื้มที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลอง

ก่อนหน้านี้มีคนอินเดียไม่เห็นด้วยที่จะให้อัญเชิญมาไทย แต่ก็สามารถจัดการปัญหาได้เพราะมีเจตจำนงมุ่งมั่นที่จะสานสัมพันธ์ชาวพุทธ ไทย ศรีลังกาและอินเดียให้แน่นแฟ้นเพื่อประกาศพระสัทธรรมไปด้วยกัน

ปัจจุบันพระอรหันตธาตุของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมีด้วยกัน 3 ชุด ในสถานที่ 3 แห่งของโลก คือ ศรีลังกา อินเดีย เมียนมา ท่านได้ดูแลรักษาทั้งในอินเดียและศรีลังกา และด้วยความตั้งใจของดร.สุภชัยที่เป็นกัลยาณมิตรทำให้ชาวไทยทั่วประเทศและในลุ่มน้ำโขงได้มีโอกาสสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ และหวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสเสด็จมาประเทศไทยอีก ซึ่งในการอัญเชิญพระอรหันตธาตุมาประเทศไทยครั้งนี้ ทำให้ท่านต้องน้ำตาไหลไม่รู้กี่ครั้ง

คุณสุภชัย กล่าวว่า เจอพระอุปติสสะแค่วินาทีเดียว มีความรู้สึกเหมือนเจอกันมาเป็นร้อยปี เป็นการเจอกันบนเครื่องบินโดยไม่มีใครแนะนำ เพียงเดินผ่านกันและมองตากันก็ยกมือไหว้ นี่แหละคือวิถีพุทธ บางคนคบกันทั้งชีวิต 40 ปี ยังไม่เผาผีกันเลยเพราะมีความเคียดแค้นไม่รู้จักคำว่าอภัย ชาวพุทธเราเห็นหน้ากันแปบเดียว เหมือนเราเป็นเพื่อนกันมาหลายภพชาติ นี่คือคนในอดีตที่ทำกันแบบนี้และไม่ตระบัดสัตย์ยึดอยู่ในบารมี 10 ข้อ ข้อที่ 7 คือ สัจจะบารมี

พระอุปติสสะกล่าวทิ้งท้ายว่า อัศจรรย์ใจกับ ดร.สุภชัยมากว่ามีความรู้ทางพระพุทธศาสนาเหมือนจะมากกว่าท่านเลย สามารถเป็นครูของท่านได้เลย ปัจจุบันพระอุปติสสะอายุ 74 ปี ได้เห็นและฟังสิ่งต่างๆมามากมาย ในวันนี้เชื่อเหลือเกินว่าอนาคตพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรือง และจะเข้าสู่นิพพานได้

#ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง

สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย980

เปิ้นอยากเล่า รายงาน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เอง

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า