ชาวขอนแก่นเห็นด้วยออกกฎหมายคาร์ซีต แต่ผิดจังหวะไปนิดควรแจ้งล่วงหน้านานกว่านี้
เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวเพราะรายจ่ายระยะนี้มากจริงๆ
เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 13 พ.ค.2565 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นภายหลังจากที่รัฐบาลได้ออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่งพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน อาทิ คนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จนทำให้ขณะนี้ผู้ปกครองเริ่มออกมาเลือกซื้อกันอย่างต่อเนื่องเพิ่อให้ทันต่อการใช้งานตามที่กฎหมายกำหนด
น.ส.สุนิตรา อุไกรษา ประชาชนชาวขอนแก่น กล่าวว่า การออกกฎหมายแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ช่วยป้องกันบุตร–หลาน แต่ออกมาผิดจังหวะและไม่ให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ มากำหนดแบบนี้อาจจะติดขัดเรื่องเงินที่จะไปซื้อมาติดตั้ง ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นขอความร่วมมือมากกว่าออกเป็นกฎหมาย ที่จะต้องค่อยไล่ระดับขอความร่วมมือก่อนและตามด้วยออกกฎหมาย
“ช่วงนี้โควิดคนตกงานรายได้ลดลงประกอบกับช่วงเปิดเทอมผู้ปกครองก็มีค่าใช้จ่ายค่าเทอมค่าเสื้อผ้านักเรียน ค่าสมุดหนังสือ กฎหมายดังกล่าวที่ออกมาตอนนี้มันผิดจังหวะไปหน่อย ซึ่งโดยปกติคาร์ซีตถึงไม่ขึ้นราคา ราคาก็สูงอยู่แล้ว หรืออย่างถูกๆก็มีแต่คุณภาพป้องกันไม่ได้หากให้ซื้อมาก็มากันแค่ตำรวจจับ ถ้าต้องการคุณภาพดีๆก็ราคา 5,000-6,000 บาท ดังนั้นการที่รัฐบาลออกกฎหมายมาเช่นนี้ก็ต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ“
น.ส.สุนิตรา กล่าวต่ออีกว่า ขณะเดียวกันคนที่ใช้รถกระบะจะลำบากมาก ถ้าครอบครัวมี 5 คนเด็ก 2 คน คาร์ซีตติด2 อันก็จะไม่มีที่นั่ง ทางที่ดีควรจะให้ค่ายรถทั้งหลายเวลาขายรถก็แถมคาร์ซีตมาให้ด้วย ถ้าจะออกมาเป็นกฎหมายหรือไม่ก็ติดตั้งมาตั้งแต่ซื้อรถเลย อยากให้ทบทวนและขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยการขอความร่วมมือก่อนถ้าใครยังไม่มีก็ต้องยอมรับว่าประชาชนยังไม่มีจริงๆแต่ไม่ใช่มาบังคับแล้วให้ประชาชนเดือนร้อน
ขณะที่นายพงพิพัฒน์ โคตรบุดดี ประชาชนชาวขอนแก่น กล่าวว่า เป็นตัวแทนของคนมีลูกเล็กและเคยติดคาร์ซีต ซึ่ง การติดคาร์ซีตนั้นตนเองเห็นด้วยแต่มาบังคับใช้นั้นตนเองไม่เห็นด้วยควรจะเป็นการรณรงค์ก่อน ทำความเข้าใจผู้ปกครองหรือคนที่มีลูกเล็ก ในการใช้รถมากกว่าและกลับมาดูกระแสแล้วค่อยออกกฎหมายอีกครั้ง
“การไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้เพราะบางครั้งการที่ซื้อรถไม่ได้ที่จะมาใช้ในครอบครัวแต่ใช้ในการทำงานนานๆทีจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัวต้นทุนชีวิตแต่ละครอบครัวไม่เท่ากัน กระทบกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นแน่นอนยิ่งเศรษฐกิจในช่วงนี้ทั้งค่าน้ำมัน ค่าครองชีพอื่นๆที่ขึ้นมากในช่วงนี้ ต้นทุนในการใช้ชีวิตเพิ่มและยังต้องเอาเงินไปซื้อคาร์ซีตอีก คาร์ซีตดีๆมีราคาที่สูงมาก ซึ่งการใช้คาร์ซีตกับลูกนั้นดีมากเท่าที่เคยใช้มารู้สึกสบายใจเวลาขับรถไปไหนมาไหนกับลูกไม่ต้องคอยกังวล แต่ปัญหาอุปสรรคก็มีเพราะคาร์ซีตมีหลายรุ่นแบ่งออกตามอายุของเด็ก ขนาดความใหญ่ความกว้าง น้ำหนักของเด็กใช้1-2 ปี เด็กโตขึ้นก็ต้องซื้ออันใหม่แล้วการจะเป็นการสิ้นเปลืองไปอีกในระยะ 1-6 ขวบ ไม่ได้ใช้อันเดียวแน่นอนอย่างน้อยต้องมี 2 อัน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นให้กับครอบครัวอย่างชัดเจน