“ทวี สอดส่อง”ชี้ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนหลักการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเป็นพาณิชย์มุ่งหาผลประโยชน์ทำให้ผู้กู้เงินกยศ.
เมื่อจบการศึกษาไม่มีงานทำและประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำไม่สามารถใช้หนี้ กยศ.ได้ ต้องได้รับชะตากรรมขั้นหายนะจากดอกเบี้ยโหด
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวถึงกรณีกองทุน กยศ. ว่าไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา แต่กลับส่งต่อความยากจนอย่างเรื้อรัง
โดย พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กล่าวว่า แม้มาตรา 54 วรรคหก รัฐธรรมนูญ 2560 จะบัญญัติให้รัฐต้อง…ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา.. และในวรรคห้า บัญญัติ “…รัฐต้องดําเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษา ตามความถนัดของตน”
แต่จนถึงปัจจุบันผ่านใช้รัฐธรรมนูญมามากกว่า 5 ปีแล้ว ผู้ยากไร้ ในระดับอาชีวะ และชั้นปริญาตรีหรืออุดมศึกษา ยังไม่มีกองทุนให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้เลย กองทุนเพื่อความเสมอภาคก็ดูแลเฉพาะผู้ที่ศึกษาในระดับไม่เกิน ม.6 ที่มีงบประมาณผู้เรียนฟรีอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ซ้ำร้าย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ สนช. บัญญัติพ.ร.บ.กยศ. พ.ศ.2560 ขึ้นแทน พ.ร.บ.กยศ.พ.ศ. 2541 ที่เปลี่ยนแปลงหลักการจากการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องพาณิชย์ที่มุ่งหาผลประโยชน์กับผู้ยากไร้ ทำให้ผู้กู้เงิน กยศ. เมื่อสำเร็จการศึกษาไม่มีงานทำและประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำไม่สามารถใช้หนี้ กยศ.ได้ต้องได้รับชะตากรรมขั้นหายนะจากดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่โหดร้าย ดังปรากฎจากข้อเท็จจริงที่กยศ. ชี้แจง “จำนวนผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชำระหนี้” ที่ กยศ. แยกเป็น
กลุ่มดำเนินคดี จำนวน 883,916 ราย เงินต้นค้างชำระ 50,042.16 ล้านบาทเศษ ฟ้องเรียกดอกเบี้ย 12,467.03 ล้านบาทเศษ และเรียกเบี้ยปรับ 16,713.84 ล้านบาทเศษ รวมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับเพิ่มจากเงินต้น จำนวน 29,180.87 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็น 58.31%
กลุ่มบังคับคดี จำนวน 187,684 ราย เงินต้นค้างชำระ 16,979.40 ล้านบาทเศษ คิดดอกเบี้ย2,910.02 ล้านบาทเศษ และคิดเบี้ยปรับ 9,923.20 ล้านบาทเศษ รวมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับเพิ่มจากเงินต้น จำนวน 12,833.22 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็น 75.58%
รวมทั้ง 2 กลุ่ม (กลุ่มดำเนินคดี กับกลุ่มบังคับคดี ) จำนวน 1,071,600 คน แบ่งเป็นเงินต้นที่กยศ. ให้กู้จำนวนประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาทเศษ ได้เรียกดอกเบี้ยและเบี้ยปรับเพิ่มจากเงินต้นจำนวน 4.2หมื่นล้านบาทเศษ คิดเป็น 62.7% ของยอดเงินต้น (โดยที่บางรายมีเบี้ยปรับสูงกว่าเงินต้นด้วย)
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กล่าวอีกว่า “ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ กยศ. เป็นหายนะของผู้ยากไร้ที่เป็นลูกหนี้ กยศ.” แม้ในขณะที่สภาผู้แทนราษฏร กำลังเร่งร่าง พ.ร.บ.กยศ.ฉบับใหม่ขึ้นมา บางฝ่ายก็ยังมีมุมมองต่อลูกหนี้ที่ไม่ดี ซึ่งเมื่อได้เอาข้อเท็จจริงมาแจกแจงดูจะพบได้เลยว่า กยศ. ที่สร้างหายนะกับอนาคตให้กับเยาวชน ซึ่งจะโตเป็นกำลังสมองของประเทศชาติต่อไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายต่างๆที่ทาง กยศ. ได้ออกมาในช่วงวิกฤตโรคระบาดโคโรน่าไวรัส (โควิด) นำมาซึ่งการถูกอายัดบัญชีและยึดทรัพย์กว่าหลายหมื่นราย แม้ว่าลูกหนี้จะพยายามใช้หนี้แต่กลับกลายไปตัดชำระเพียงในส่วนเบี้ยปรับ ซึ่งในบางรายสูงเท่าเงินต้น หรือมากกว่าเงินต้นเท่าตัว ลูกหนี้จึงไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้หลายรายที่ท้อ และยอมโดนยึดทรัพย์ แต่ความหายนะยังไม่จบเพียงเท่านี้เมื่อ กยศ. อาศัยกฎหมายไล่บี้อายัดบัญชีลูกหนี้ ทำให้ลูกหนี้หลายคนที่ลำบากกันอยู่แล้วลำบากแสนสาหัส จากต้นคิดที่ดี ในการให้โอกาสทางการศึกษา กลับกลายเป็นหายนะลูกหนี้ กยศ. ทำให้ไร้อนาคตเป็นการส่งต่อความความยากจนอย่างเรื้อรัง และส่วนตัวเห็นว่าการดำเนินการของ กยศ. นอกจากฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแล้วยังขัดต่อเจตนารมย์ของกฎหมาย กยศ. อีกด้วย