ตำรวจ ทลายเครือข่ายภาคใต้ ‘บุหรี่ไฟฟ้าหนีภาษี’ 4.8 หมื่นชิ้น มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงจับเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ มูลค่า 20 ล้าน
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ตำรวจภูธรภาค 1 พลตำรวจโท วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, พลตำรวจตรี วิชิต บุญชินวุฒิกุล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, พลตำรวจตรี ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดที่มีอำนาจหน้าที่เร่งรัดสืบสวนปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในเขตพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 อย่างเด็ดขาดและจริงจัง
กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 นำโดย พลตำรวจตรี วรชาติ แสนคำ ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก ประธาน นันทกอบกุล รองผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก พีรศักดิ์ รอดบน รองผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก มณเทียร เบ้าทอง รองผู้บังคับการกองบังคับการ ปฏิบัติราชการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก วิศิษฏ์ มะอักษร รองผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก วิทิต จันทร์เอี่ยม รองผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1, พันตำรวจเอก พูนสุข เตชะประเสริฐพร ผู้กำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน กองกำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาขนบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายมัรวาน อายุ 23 ปี ชาวสงขลา ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ.2560”
2. นายอิลรอเฮง อายุ 28 ปี ชาวปัตตานี ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ.2560”
ของกลางที่ได้จากการตรวจยึด:
1. บุหรี่ไฟฟ้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 48,301 ชิ้น
2. รถกระบะตู้ทึบ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีขาว จำนวน 1 คัน
3. รถกระบะตู้ทึบ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา จำนวน 1 คัน
4. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Nokia จำนวน 1 เครื่อง
5. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 1 เครื่อง
6. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Oppo จำนวน 1 เครื่อง
7. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 1 เครื่อง
สถานที่จับกุม ริมถนนสาธารณะ หมู่ 6 ตำบล บางน้ำจืด อำเภอ เมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร
พลตำรวจโท วัฒนา กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมนายจีรพิวัฒน์ พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 4,476 ชิ้น รวมมูลค่าประมาณ 3,088,440 บาท ในความผิดฐาน “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้ามหรือที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พระราชบัญญัติ ศุลกากร พ.ศ.2560” นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร เมืองลพบุรี จังหวัด ลพบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลพบกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงบุหรี่ไฟฟ้า จากพื้นที่ภาคใต้ ขึ้นมากระจายในพื้นที่ภาคกลาง เพิ่มเติม โดยพบรถกระบะตู้ทึบสีเทา และรถกระบะตู้ทึบสีขาว เจ้าพนักงานตำรวจจึงคอยเฝ้าสังเกตการณ์และทำการติดตามจนตรวจพบขณะกลุ่มผู้ต้องหา ลักลอบลำเลียง บุหรี่ไฟฟ้าของกลางจากพื้นที่ภาคใต้เข้าสู่พื้นที่ภาคกลาง โดยเข้าแสดงตัวขอทำการตรวจค้น และจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1 นายมัรวาน ผู้ขับขี่รถกระบะสีขาว พร้อมด้วยของกลางบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ M ZERO จำนวน 19,441 ชิ้น และผู้ต้องหาที่ 2 นายอิลรอเฮง ผู้ขับขี่รถกระบะตู้ทึบสีเทา พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 28,640 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมด 48,301 ชิ้น นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยของกลางทั้งหมดถูกลำเลียงมาจากพื้นที่ภาคใต้ และนำมาจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลาง มีของกลางมูลค่ารวมประมาณ 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาท)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการกระทำผิดดังกล่าวว่าได้มีกลุ่มบุคคลได้ลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้ามาจัดจำหน่าย ซึ่งอาจทำให้วัยรุ่นและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และประชาสัมพันธ์ว่าการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง มีความผิดทางกฎหมาย
ทางตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โดยใช้มาตรการลงโทษทางกฎหมายในฐานความผิดขั้นสูงสุด เพื่อเป็นแบบอย่างมิให้การกระกระทำความผิด และจะดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนสืบไป โดยหากพบเห็นการกระทำผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว สามารถแจ้งไปยังสายด่วน 191 เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป
สมศักดิ์ หิรัญรุ่งผู้สื่อชข่างภาคสนามรายงาน