ทอ.เผยความจำเป็นในการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน
วันที่ 9 มีนาคม 2565 พลอากาศตรี ประภาสสอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ได้เปิดเผยเหตุผลถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนว่าตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ 2551 มาตรา 21 ระบุให้กองทัพอากาศมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพอากาศ ในการป้องกันราชอาณาจักรและดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพอากาศตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม มีผู้บัญชาการทหารอากาศเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ
และตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาศักยภาพของประเทศด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหม และแผนปฏิบัติการด้านการปกป้องอธิปไตย และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของกองทัพไทย ซึ่งกำหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งระบุว่ากำลังทางอากาศต้องมีขีดความสามารถในการปฏิบัติการเชิงรุกที่ได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม และปฏิบัติการร่วมทั้งในและนอกประเทศ โดยใช้ระบบเครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Operations)
ทำให้กองทัพอากาศต้องเตรียมยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อม ทันสมัยมีศักยภาพทางทหารที่ทัดเทียมกับประเทศ รอบบ้าน
ปัจจุบันเครื่องบินรบส่วนใหญ่ของกองทัพอากาศมีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน ทำให้มีขีดความสามารถจำกัดในการปฏิบัติทางอากาศและส่วนใหญ่จะเริ่มทยอยปลดประจำการตั้งแต่ พ.ศ. 2564 จนถึงพ.ศ 2574 โดยใน พ.ศ. 2575 กองทัพอากาศจะคงเหลือเครื่องบินขับไล่โจมตีต่ำกว่าร้อยละ 50 ซึ่งจะทำให้ขีดความสามารถของกำลังรบทางอากาศลดลง จนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ และยังต้องแบกรับภาระการส่งกำลังและซ่อมบำรุงเครื่องบินรบจำนวนมาก ที่มีอายุการใช้งานสูงถึง 28 – 54 ปี จึงจำต้องพัฒนาและจัดหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นและเพียงพอต่อหน้าที่ ในการเตรียมการใช้กำลังทางอากาศ โดยคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานภาพงบประมาณของกองทัพอากาศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ รองรับแผนปฏิบัติการของกระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย
ดังนั้น กองทัพอากาศได้พิจารณาความคุ้มค่าในการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี โดยมุ่งเน้นคุณภาพเหนือปริมาณเพื่อเป็นการป้องปรามและรู้ผลแพ้ชนะในการใช้กำลัง รวมทั้งสามารถทวีกำลัง และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพตลอดจนสร้างความมั่นคงกับประเทศในภูมิภาค
โฆษกกองทัพอากาศได้ชี้แจงต่อว่า กองทัพอากาศจึงต้องจำเป็นในการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีสมรรถนะสูง ยุคทึ่ 5 มาทดแทนเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบเดิมที่ล้าสมัย อันจะก่อให้เกิดความได้เปรียบของกำลังทางอากาศ ในการผนึกกำลังป้องกันประเทศ (United Defense) สนับสนุนการปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพอื่นและยังเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการป้องปราม (Deterrence) หรือการป้องกันเชิงรุก (Active Defense) ตลอดจนสามารถร่วมปฏิบัติการทางทหารตามหลักคิดการสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกับมิตรประเทศในภูมิภาคได้