สังคม-สตรี-เยาวชน

เจ้าของร้านแก๊ส ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถูกมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นตำรวจรับจำนำรถ

ที่มูลนิธิปวีณาฯ : วันนี้ 17 ก.พ.68 เวลา 15.00 น. นางเอม (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี เจ้าของร้านแก๊ส ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถูกมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นตำรวจรับจำนำรถจะช่วยเรื่องรถจักรยานยนต์หายและเรื่องติดสปริงเกอร์ร้านแก๊สก่อนจะหลอกโอนสูญเงินกว่า 3 ล้านบาท ต้องขายรถ ขายทรัพย์สินที่มี เอาเงินฌาปนกิจพ่อแม่ จำนำที่นา และต้องกู้หนี้ยืมสินมาโอนให้จนหมดตัว เครียดจัดจนป่วยเป็นซึมเศร้าเกือบจะกระโดดตึกชั้น 5 หวังจบชีวิตหนีปัญหา ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดีให้จับกุมตัวมิจฉาชีพรายนี้มารับกรรมที่ก่อและรับโทษตามกฎหมายก่อนจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกจำนวนมาก

นางเอม กล่าวว่า ตนเปิดร้านขายแก๊สอยู่ย่านถนนหทัยราษฎร์ ลำลูกกา ปทุมธานี ช่วงเดือน ธ.ค.ปี 2566 ได้ซื้อรถจักรยานยนต์มือสองผ่านทางเฟซบุ๊กในราคา 8 พันบาท มีทะเบียนรถถูกต้อง ซื้อรถจักรยานยนต์มาได้ 2 วัน ก็มีคนมาสมัครเป็นลูกจ้างที่ร้าน ทำงานได้ 2 วัน วันที่ 28 ธ.ค.66 ลูกจ้างก็ขโมยรถจักรยานยนต์ไป ตนไปแจ้งความตำรวจก็ไม่สามารถรับแจ้งความได้ เพราะว่าทะเบียนรถอยู่ใต้เบาะรถที่ถูกขโมยไป จากนั้นลูกสาวจึงไปช่วยโพสต์ตามหารถจักรยานยนต์ในเฟซบุ๊ก พอตกดึกตอนตี 3 ได้มีผู้ชายโทรเข้ามาหาตน บอกว่าตัวเองเป็นตำรวจ อายุ 34 ปี อยู่จ.นครปฐม และทำอาชีพรับจำนำรถ มีคนเอารถของตนไปจำนำไว้ ถ้าอยากได้คืนให้โอนเงินค่าน้ำมันมา 2,200 บาท และจะให้คนขี่รถเอามาส่งคืน ตนหลงเชื่อจึงโอนเงินไปให้ รอถึง 3 วันก็ยังไม่ได้รถคืน

เมื่อตนโทรไปถามชายดังกล่าวอ้างว่าติดเรื่องเอกสารและมีข้ออ้างต่างๆ นานา โดยกล่าวหาว่าตนซื้อรถจักรยานยนต์มาผิดกฏหมาย ต้องมีการตรวจสอบเพราะอาจจะเข้าข่ายรับซื้อของโจร ต้องติดคุก 6 เดือน และต้องวิ่งขึ้นศาลเพื่อสู้คดี ตนเกิดความกลัวจึงถามไปว่า “ต้องทำอย่างไร” เขาบอกว่าอยากจะช่วยตนและจะตามจับลูกน้องให้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย 8 หมื่นบาท ตนก็โอนไปให้ และจะโอนรถเพื่อไม่ติดคดี จากนั้นเขาก็ให้คุยทางโทรศัพท์กับคุยกับอีกหลายคนที่อ้างตัวว่าเป็นทนายความ เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ถึง 4-5 คน ช่วงปีใหม่เขาก็มาหาที่บ้าน เอาผ้าขนหนู กับพระ 2 องค์มามอบให้เป็นของขวัญ เขาจะมีวิธีพูดจูงใจต่างๆ ให้หลงเชื่อระหว่างนั้นก็จะให้ตนโอนเงินให้เรื่อยๆ ครั้งละ 1-3 หมื่นบาท จนยอดโอนสูงถึง 5 แสนบาทแล้วตนก็ยังไม่ได้รถจักรยานยนต์คืน

ต่อมาเขาก็บอกอีกว่า “ตนเปิดร้านแก๊สมีการติดสปริงเกอร์ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่มีจะต้องถูกดำเนินคดีและต้องติดคุก” ตนกลัวมากไม่อยากจะมีปัญหา เขาก็บอกว่าจะช่วยวิ่งเต้นให้ถูกต้องไม่มีปัญหา จากนั้นก็ให้ตนโอนเงินไปเป็นค่าดำเนินการครั้งละ 5 หมื่น 8 หมื่น ตนต้องขายทรัพย์สินทุกอย่าง เอาเงินฌาปนกิจพ่อแม่ จำนองที่นา กู้หนี้ยืมสินมาโอนให้อีกหลายครั้งเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท วันสุดท้ายที่โอนคือวันที่ 13 ก.พ.67 เท่ากับช่วงเวลา 2 เดือนเศษเบ็ดเสร็จตนเสียเงินโอนไปกว่า 3 ล้านบาท จึงมารู้ว่าถูกหลอกและไปแจ้งความที่สภ.คูคต ตนจำหน้าคนร้ายได้ดี เวลาผ่านมาเป็นปีแล้วคนร้ายยังลอยนวล ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดีให้ด้วย

หลังรับเรื่อง นางปวีณา กล่าวว่า หลังทราบเรื่องราวของผู้เสียหายแล้วรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงอย่างยิ่ง กรณีนี้เชื่อว่ามีการทำเป็นขบวนการหลวกเหยื่อ ทั้งนี้ได้ประสาน พ.ต.อ.กานตภณ วรรณา ผกก.สภ.คูคต พร้อมมอบหมายให้ นายเอกภาพ หงสกุล ผู้อำนวยการมูลนิธิปวีณาฯ พาผู้เสียหายไปพบ ผกก. เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม และเร่งติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี โดยนางปวีณา จะประสาน พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เพื่อให้จับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ และจะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดเพราะถือเป็นภัยร้ายของประชาชนอย่างยิ่ง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เอง

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า