เปิดหูเปิดตาที่ปักกิ่ง พระราชวังต้องห้าม 2568 กับความลับที่ซ่อนอยู่
ก้าวแรกที่เดินผ่านประตูไท่เหอ ความรู้สึกคือ “ในที่สุดก็มาถึงกู้กง” จากที่เคยตั้งใจมานานหลายปี ภาพตำหนักไท่เหอที่ปรากฏตรงหน้าช่างยิ่งใหญ่เกินบรรยาย
เหมือนศูนย์กลางจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อยืนยันว่า “อำนาจ” และ “ความยิ่งใหญ่” ของราชสำนักจีน คงอยู่ตลอดกาล ทุกเส้นทาง ทุกลานหิน และเสาไม้ทุกต้น

ล้วนถูกจัดวางอย่างรอบคอบตรงตามหลักฮวงจุ้ย ขณะเดียวกันก็กำหนดทิศทางให้ทุกสายตาต้องหันไปยังจุดเดียวคือ “พระราชวังกู้กง” “ศูนย์กลางแห่งอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
คำว่า “ต้องห้าม” มาจากการ “ห้าม” สามัญชนเข้าไปในพระราชวังโดยเด็ดขาด เพราะในอดีตเป็นเขตหวงห้ามที่ไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าได้ เพื่อให้พระราชวังแห่งนี้
เป็นอาณาเขตส่วนตัวของจักรพรรดิและครอบครัวเท่านั้น ตอกย้ำถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และสถานะอันสูงส่งของจักรพรรดิ ซึ่งถือว่าเป็น “โอรสแห่งสวรรค์”
เพื่อความเข้าใจง่ายเปรียบเทียบโครงสร้างอาณาเขตของกู้กงก็คล้ายกับโครงสร้างอาณาเขตของพระราชวังในประเทศไทย คือแบ่งสัดส่วนออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน


เริ่มต้นจากประตูเทียนอันหรือเทียนอันเหมิน(บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินปัจจุบัน) นับเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก ถัดมาพื้นที่ “ประตูอู่” คือเขตพระราชฐานชั้นกลาง และพื้นที่ภายใน “ประตูไท่เหอ”
เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน แต่เกิดเปลี่ยนแปลงในสมัยราชวงศ์ชิงกำหนดให้เขตพระราชฐานชั้นในเริ่มจาก “ประตูเฉียนชิง”
เรามักเรียกพระราชวังต้องห้ามอีกชื่อว่า “พระราชวังกู้กง” คำว่า “กู้” หมายถึง “เก่า” และคำว่า “กง” หมายถึง “วัง” รวมแล้วความหมายคือ “พระราชวังเก่า” หรือ “พระราชวังโบราณ” นั่นเอง
จากจัตุรัสเทียนอันเหมินซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระราชวังต้องห้าม เดินไปประมาณ 200 เมตร จะถึง “ประตูอู่” เป็นประตูหลักที่ใหญ่และสง่างามที่สุดของพระราชวัง มีช่องประตูทั้งหมดห้าช่อง
ความสูงของประตูอู่เกือบ 30 เมตร ยาว 60 เมตร และกว้าง 25 เมตร ปัจจุบันประตูอู่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าชมพระราชวัง นักท่องเที่ยวสามารถใช้ประตูนี้เป็นทางเข้าหลักเพื่อเข้าไปภายในบริเวณพระราชวัง
สมัยโบราณทุกครั้งที่ขุนนางมาเข้าเฝ้าต้องแต่งกายเต็มยศแล้วยืนรอคอยที่หน้าประตูอู่ตั้งแต่ตี 5 เพื่อรอเรียกเข้าเฝ้าหรือถวายความเคารพ ไม่ว่าจักรพรรดิจะเสด็จออกท้องพระโรงหรือไม่ก็ตาม

ประตูอู่จะมีช่องทางเข้า 5 ช่อง ช่องตรงกลางเป็นทางเสด็จของจักรพรรดิ พระมเหสีเข้าได้เพียงครั้งเดียวตอนพระราชพิธิอภิเษกสมรสเท่านั้น และผู้ที่สอบไล่ได้สามอันดับแรกในการสอบจอหงวน

ก็ได้รับเกียรติให้เดินเข้าประตูนี้ ส่วนช่องเปิดทางตะวันออกสำหรับเสนาบดีและทหาร ช่องทางทิศตะวันตกเป็นทางเข้าของพระบรมวงศานุวงศ์ สำหรับช่องอื่นๆ ที่เหลือ เป็นทางเข้าของข้าราชการชั้นผู้น้อย
ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ประตูอู่ของเดิมถูกทำลายไปเมื่อกองทัพพันธมิตร 8 ชาติบุกกรุงปักกิ่งเมื่อ 14 สิงหาคม คศ.1900 ที่เห็นในปัจจุบันเป็นการบูรณะขึ้นมาใหม่
ถัดจากประตูอู่เข้าสู่ประตูไท่เหอ (ไท่เหอเหมิน) จะเห็นสะพาน 5 แห่ง และลานหินกว้างขนาดใหญ่มาก สะพานทั้งห้าสร้างข้ามแม่น้ำ “จิน” ที่แปลว่า “ทอง” โดยสะพานตรงกลางสำหรับจักรพรรดิเท่านั้น
ถัดจากนั้นสะพานสองข้างทางสงวนไว้สำหรับสมาชิกราชวงศ์ ส่วนอีกสองข้างทางด้านนอกสำหรับข้าราชการทั่วไป สะพานมีราวบันไดหินอ่อนสลักลวดลายมังกรและหงส์ แม่น้ำนี้มีประโยชน์เมื่อเกิดไฟไหม้
ใช้น้ำในแม่น้ำเพื่อดับเพลิง ส่วนลานหินกว้างใหญ่นั้นระบุว่ามีพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร บริเวณลานไม่มีต้นไม้เลยสักต้น เพราะถือว่าจักรพรรดิเป็นโอรสแห่งสวรรค์ จึงควรครองตำแหน่งสูงสุดในพระที่นั่งไท่เหอ
ดังนั้น จึงไม่ให้สิ่งอื่นใดสูงเกินพระที่นั่งไท่เหอ แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่ได้ สิ่งที่น่าสังเกตของพระราชวังแห่งนี้คือ “หลังคา” กลุ่มอาคารพระราชวังมีรูปแบบหลังคาที่แตกต่างกันมากกว่า 10 แบบ โดยแต่ละแบบบ่งบอก
ถึงฐานะและหน้าที่การใช้งาน อีกทั้งสีกระเบื้องก็มีความหมาย กระเบื้องเคลือบสีเหลืองหรือสีทองเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของจักรพรรดิเท่านั้น แสดงถึงอำนาจและสถานะอันสูงส่ง และเป็นสีที่ห้ามใช้กับอาคารอื่น
นอกเหนือจากพระราชวัง สุสาน และวัดบางแห่งที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ บุคคลทั่วไปหรือเจ้าหน้าที่ใช้กระเบื้องสีเหลืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการล่วงละเมิดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ส่วนสีเขียว
มีความเกี่ยวข้องกับธาตุไม้จึงใช้กับพระตำหนักขององค์รัชทายาท และยังมีการเพิ่มเติมสีสันสดใส เช่น สีน้ำเงิน สีม่วง และสีดำ ประดับตามสวนและกำแพง

ก่อนถึงตำหนักไทเหอเป็นลานหินกว้างใหญ่มาก หินที่เรียงรายอยู่ใต้ฝ่าเท้าล้วนเป็นหินสมัยแรกเริ่มก่อสร้างพระราชวัง ว่ากันว่าต้องใช้หินเกือบ 100 ล้านก้อน หนักประมาณ 2 ล้านตัน ปูด้วยวิธีพิเศษอย่างยิ่ง
คือปูด้วยหิน 7 ชั้นตามยาว และ 8 ชั้นตามขวาง รวมเป็น 15 ชั้น เพื่อป้องกันมือสังหารขุดอุโมงค์เข้าไปในพระราชวัง หินเหล่านี้ถูกสร้างเป็นพิเศษเพื่อให้เสียงไพเราะเวลาเดินผ่าน ไกลออกไปด้านซ้ายและขวาของ
พระที่นั่งไท่เหอ จะเป็นอาคารขนาดเล็กเรียงรายอาคารเหล่านี้เป็นโกดังเก็บขนสัตว์ เครื่องเคลือบดินเผา เครื่องเงิน ชา ผ้าไหม ผ้าซาติน และเสื้อผ้า ลองจินตนาการย้อนไปในสมัยโบราณ ความอลังการของลานหิน
ความสมมาตรของอาคารเบื้องหน้า แน่นอนว่าเป็นความรู้สึก “ที่นี่เป็นศูนย์กลางจักรวาลและอำนาจ” อย่างแท้จริง

ภายในประตูไท่เหอมีพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ตำหนักใหญ่ คือ “ไท่เหอเตี้ยน” “จงเหอเตี้ยน” และ “เป่าเหอเตี้ยน” มีขนาดรูปร่างต่างกัน หลังคาก็คนละแบบ ทั้งหมดสร้างบนฐานหินอ่อนสีขาว
โดยพระที่นั่ง “ไท่เหอ” อยู่หน้าสุด พระที่นั่ง “จงเหอ” อยู่ตอนกลาง และพระที่นั่ง “เป่าเหอ” อยู่ด้านหลัง เมื่อผ่านไท่เหอเหมินจะมองเห็น “ไท่เหอเตี้ยน” พระที่นั่งโครงสร้างไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น สำหรับชาวบ้านจะเรียกพระที่นั่งไท่เหอว่า “พระที่นั่งทองคำ” เพราะตกแต่งด้วยสีเหลืองทองของจักรพรรดิ สง่างามอลังการมาก มีความสูงที่สุดและหรูหราที่สุด “ไท่เหอเตี้ยน”
คือศูนย์กลางการบริหารบ้านเมือง จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ออกว่าราชการที่นี่ ในพระที่นั่งมีเสาไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร 72 ต้น ตรงกลางคือบัลลังก์ลายมังกรทองคำทำจากไม้จันทน์ สัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
หน้าบัลลังก์มีนกกระเรียนสำริด 1 คู่ เตาเผากำยานรูปช้าง หลังบัลลังก์มีฉากกั้นลายมังกร ตรงกลางเพดานมีลวดลายมังกรสองตัวกำลังเล่นกับไข่มุก มังกรเหล่านี้ทำจากแก้วและทาสีด้วยปรอท เชื่อกันว่าไข่มุกสามารถ
ตรวจจับผู้แย่งชิงอำนาจได้ หากผู้ใดที่ไม่ใช่ลูกหลานของจักรพรรดิแย่งชิงบัลลังก์ ไข่มุกจะตกลงมาฟาดฟันผู้นั้นจนตาย พระที่นั่งแห่งนี้ยังใช้เป็นที่จัดงานพระราชพิธีสำคัญของจักรพรรดิ เช่น พิธีขึ้นครองราชย์ พิธีฉลองวัน
พระราชสมภพ พิธีอภิเษกสมรส พิธีฉลองวันตรุษจีน แต่งตั้งพระมเหสี และการประกาศพระราชโองการให้แม่ทัพออกศึก บนหลังคาพระตำหนักไท่เหอ เนื่องจากเป็นท้องพระโรงของจักรพรรดิ จึงมีประติมากรรมรูปเซียน
และสัตว์มงคลเรียกว่า “โจวโซ่ว” 10 ตัว ประกอบด้วยมังกร หงส์ สิงโต ม้าสวรรค์ ม้าสมุทร ปลายา ซานหนี่ เซ่ยจื้อ โต้วหนิง สิงสือ โดยมีเซียนขี่หงส์อยู่หน้าสุด เป็นสัญลักษณ์หมายถึงอำนาจ การปกป้อง และความเจริญรุ่งเรือง

ถัดไปด้านหลังเป็น “จงเหอเตี้ยน” บูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ.2508 ถือว่าเป็นพระที่นั่งเล็กสุดใน 3 พระที่นั่ง ภายในจงเหอเตี้ยนปูพื้นด้วยอิฐสีทอง ใช้เป็นที่ประทับพักผ่อนชั่วคราวของจักรพรรดิ และรับการเข้าเฝ้าฯ ของข้าราชการ
รวมถึงการซักซ้อมพิธีก่อนเสด็จเข้าพระที่นั่งไท่เหอ นอกจากนี้ ก่อนที่จักรพรรดิจะเสด็จไปบูชาฟ้าดินและศาลบรรพบุรุษ ต้องทรงตรวจ “ป้ายเขียนคำบูชา” ที่นี่ และก่อนจะไปทำพิธีแรกนาขวัญที่ “จงหนานไห่” ต้องเสด็จทรงตรวจ
เมล็ดพันธุ์และเครื่องมือประกอบพิธีเริ่มต้นเพาะปลูกที่ “จงเหอเตี้ยน” พิธีถวายราชสดุดีแด่จักรพรรดิก็จัดขึ้นที่นี่เช่นกัน ส่วน “เป่าเหอเตี้ยน” อยู่ด้านหลัง “จงเหอเตี้ยน” เป็นสถานที่เฉลิมฉลองพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดิ
และพิธีอภิเษกของพระราชวงศ์ รวมถึงใช้เป็นสถานที่ฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ งานเลี้ยงฉลองแก่ขุนนางชั้นสูง เจ้าชายมองโกล และข้าราชการพลเรือนและทหาร และเป็นที่จัดการสอบจอหงวนด้วย ด้านหลังเป่าเหอเตี้ยน

กลางบันไดมีรูปแกะสลักหินอ่อนขนาดใหญ่รูปมังกรเก้าตัวกำลังเล่นกับไข่มุก ถือเป็นประติมากรรมหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้ามและสมบูรณ์สวยงามที่สุดที่เหลืออยู่
จากเป่าเหอเตี้ยน จะเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งเป็นเขตที่สงวนไว้สำหรับสตรีและพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ พระมเหสี พระราชเทวี พระชายา พระราชธิดา เจ้าจอมมารดา ข้าราชบริพารและข้าราชการฝ่ายใน
ผู้ชายที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไปไม่อนุญาตให้เข้าในเขตนี้ ยกเว้นฮ่องเต้ ส่วนนี้จะเริ่มจาก “ประตูเฉียนชิง” เป็นประตูหลักของลานชั้นใน พ้นจากประตูมีลานกว้างราว 200 เมตร ภายในเป็นที่ตั้งของพระตำหนักหลัก 3 องค์ คือ “พระตำหนักเฉียนชิง”
ที่บรรทมของจักรพรรดิ “พระตำหนักเจียวไท่” ใช้เป็นที่เข้าเฝ้าพระมเหสีในการถวายพระพรในพิธีการต่างๆ และเก็บรักษาตราลัญจกรใช้ประทับลงหนังสือราชการของจักรพรรดิ และ “พระตำหนักคุนหนิง” ที่ประทับของฮองเฮา ซึ่งเป็น
สถาปัตยกรรมแบบแมนจูเพียงแห่งเดียวในพระราชวังต้องห้าม นอกจากนี้ยังมีหมู่พระตำหนักย่อยอีกหลายองค์ ได้แก่ หมู่พระตำหนักตะวันออก (ตงลิ่วกง) และหมู่พระตำหนักตะวันตก (ซีลิ่วกง) บางตำหนักที่อยู่ในบริเวณนี้
ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุอาทิ นาฬิกา อัญมณี หยก ของพระราชวังต้องห้าม แลนด์มาร์คในพระราชฐานชั้นในที่นักท่องเที่ยวไม่มีพลาด คือ “กำแพงมังกร 9 ตัว” นับเป็นฉากกระเบื้องเคลือบที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
มังกรแต่ละตัวมีสีแตกต่างกันไป ทั้งสีดำ เหลือง ฯลฯ
เลยไปด้านหลังตำหนักคุนหนิงเป็น “สวนอวี้ฮวาหยวน” หรือสวนหลวง สำหรับพักผ่อนหย่อนใจส่วนพระองค์ของราชวงศ์ สวนนี้มีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกับธรรมชาติอย่างลงตัว เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา โขดหิน
สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติของจีนโบราณ สิ่งก่อสร้างหลักในสวนเรียกว่า “ฉินอันเตี้ยน” ตั้งอยู่กลางสวน เป็นตำหนักสำหรับสักการะเทพเจ้าเจินอู่ เทพเจ้าเต๋า ซึ่งเชื่อว่าสามารถปกป้อง
พระราชวังจากไฟไหม้ได้ ด้านหน้าฉินอันเตี้ยนมี “ต้นสนคู่รัก” อายุ 400 ปี สัญลักษณ์ของความรักระหว่างจักรพรรดิและจักรพรรดินี และยังมียูนิคอร์นสีทองสองตัวเฝ้าประตูอยู่ เชื่อว่าช่วยปกป้องวิญญาณชั่วร้าย
ในสวนจะเห็นทางเดินเท้าที่ปูด้วยหินกรวดหลากสีมีลวดลายแตกต่างกัน สื่อถึงความโชคดี พ้นจากสวนเป็นประตูสุดท้ายหรือประตูหลังของพระราชวังต้องห้าม คือ “ประตูเสินอู่เหมิน” จากจุดนี้ ข้ามอุโมงค์ทางลอดถนนไปจะเป็น “เขาจิ่งซาน”
ตามประวัติเล่าว่าภูเขาแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการสร้างขึ้นโดยพระบรมราชโองการของจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง เพื่อให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย ที่มีภูเขาอยู่ทางด้านเหนือของพระราชวัง และยังเป็น
ที่กำบังลมหนาวพัดมาจากทางเหนือให้กับพระราชวังด้วย เขาจิ่งซานมียอดเขา 5 ยอด แต่ละยอดสร้างศาลาไว้สำหรับให้สมาชิกราชวงศ์พักผ่อน ยอดที่สูงที่สุด 45.7 เมตร มี “ศาลาว่านซุน” อยู่ด้านบน เมื่อขึ้นไปสามารถมองเห็น
พระราชวังต้องห้ามแบบพาโนรามา 180 องศา ได้ชัดเจน มีเรื่องเล่าว่าเขาจิ่งซานแห่งนี้ รัชสมัยจักรพรรดิฉงเจิน จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง ได้ขึ้นมาผูกคอตายที่ต้นไม้ตรงเชิงเขา ปัจจุบันมีแผ่นจารึกเรื่องราวบอกตำแหน่งไว้ชัดเจน
ถึงสาเหตุที่ฮ่องเต้ฉงเจินผูกคอตาย เป็นเพราะราชวงศ์หมิงในรัชสมัยของพระองค์อ่อนแออย่างมาก เศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ขุนนางฉ้อฉลมากมาย ไม่มีใครเคารพเชื่อถือในตัวฮ่องเต้ นำมาสู่การก่อกบฏของ “หลี่จื้อเฉิง” นำกำลังทหารบุกพระราชวัง
จักรพรรดิฉงเจินจำใจต้องฆ่าฮองเฮา พระสนมและลูกสาว เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรู
จากนั้นเสด็จขึ้นไปบนเขาจิ่งซานผูกคอสวรรคตใต้ต้นไม้ ทิ้งข้อความจารึกไว้ว่า “ข้าผิดต่อฟ้า ผิดต่อประชาชน ไม่อาจเผชิญหน้าบรรพชนได้
ขอให้ศพข้าอย่าถูกชำแหละ ขอแค่ฝังไว้ ไม่ต้องมีโลงหรือเสื้อผ้า” การสวรรคตของฮ่องเต้ฉงเจินถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์หมิงที่อยู่มานานถึง 276 ปี และเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนที่ปกครองโดยชาวฮั่น
เมื่อมาถึงบริเวณนี้เป็นอันสิ้นสุดอาณาเขตของพระราชวังต้องห้าม ใครที่คาดหวังจะได้เห็นความลึกลับน่าค้นหาอย่างในซีรีย์จีนโบราณ คงต้องบอก “ความจริง” ต่างจาก “จินตนาการ” สิ่งที่เห็นในปัจจุบันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ห่อหุ้มเรื่องราว
อีกมากมายไว้ภายใน เพราะยังมีอีกหลายตำหนักและหลายสถานที่ถูกปิดไว้ห้ามเข้าไป เป็นความรู้สึกไกลเกินจะเข้าถึง เหมือนความอังการที่ตั้งใจจะสร้างระยะห่างกับผู้คน ไม่ต่างอะไรกับคนจีนโบราณที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันได้เห็นภายในพระราชวังแห่งนี้
“พระราชวังต้องห้าม” ไม่ใช่เพียง “แหล่งท่องเที่ยว” แต่เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า “อำนาจมักสร้างภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ซ่อนความจริงไว้ข้างใน” บางทีเสน่ห์ของมันอาจไม่ได้อยู่ที่ “สิ่งที่เราได้เห็น” แต่คือ “สิ่งที่เราไม่มีวันได้เห็น” ต่างหาก

โดย กรรณิการณ์ ฉิมสร้อย
